ค้นหาสมุนไพร  
     
   
   
   
     
 
   
eherb ผลการค้นหา Physic nut
Physic nut
Jatropha curcas L.
 
 
 
 
 
รายละเอียดทางพฤษศาสตร์
 
  วงศ์ Euphorbiaceae
 
  ชื่อวิทยาศาสตร์ Jatropha curcas L.
 
  ชื่อไทย สบู่ดำ, ละหุ่งรั้ว
 
  ชื่อท้องถิ่น หมักเยา มะเยา มะหัว มะหุ่งฮั้ว มะโห่ง หงเทก (เหนือ), สบู่หัวเทศ สลอดดำ สลอดป่า สลอดใหญ่ สีหลอด (กลาง)
 
  ลักษณะทาง พฤกษศาสตร์ ไม้พุ่ม สูง 2 – 5 ม. ทุกส่วนมีน้ำยางสีขาวปนเทา เปลือกเรียบ เกลี้ยง
ใบ เดี่ยว เรียงสลับกัน รูปค่อนข้างกลมหรือไข่ป้อมๆ กว้าง 7 – 11 ซม. ยาว 7 – 16 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือมีรอยหยัก 3 – 5 หยัก ฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจ เส้นใบออกจากจุดเดียวกันที่โคนใบ 5 – 7 เส้น ตามเส้นใบมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบยาว 6 – 18 ซม.
ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อที่ยอดและตามง่ามใบ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกยาว 6 – 10 ซม. ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ยาว 4 – 5 มม. กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ภายในหลอดมีขน เกสรผู้ 10 อันเรียงเป็น 2 วง ๆ ละ 5 อัน อับเรณูตั้งตรง ดอกเพศเมีย กลีบดอกไม่ติดกัน รังไข่และท่อรังไข่เกลี้ยง บางทีมีเกสรผู้ฝ่อ 5 อัน ภายในรังไข่มี 2 – 4 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย
ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม. แก่จัดจะแตกเป็น 3 พู แต่ละพูมี 2 กลีบ
เมล็ด รูปกลมรี สีดำ ผิวเกลี้ยง [6]
 
  ใบ ใบ เดี่ยว เรียงสลับกัน รูปค่อนข้างกลมหรือไข่ป้อมๆ กว้าง 7 – 11 ซม. ยาว 7 – 16 ซม. ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบหรือมีรอยหยัก 3 – 5 หยัก ฐานใบเว้าเป็นรูปหัวใจ เส้นใบออกจากจุดเดียวกันที่โคนใบ 5 – 7 เส้น ตามเส้นใบมีขนอ่อนปกคลุม ก้านใบยาว 6 – 18 ซม.
 
  ดอก ดอก สีเหลือง ออกเป็นช่อที่ยอดและตามง่ามใบ ดอกเพศผู้และดอกเพศเมียอยู่บนต้นเดียวกัน ช่อดอกยาว 6 – 10 ซม. ดอกเพศผู้ มีกลีบรองกลีบดอก 5 กลีบ ยาว 4 – 5 มม. กลีบดอก 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นหลอด ภายในหลอดมีขน เกสรผู้ 10 อันเรียงเป็น 2 วง ๆ ละ 5 อัน อับเรณูตั้งตรง ดอกเพศเมีย กลีบดอกไม่ติดกัน รังไข่และท่อรังไข่เกลี้ยง บางทีมีเกสรผู้ฝ่อ 5 อัน ภายในรังไข่มี 2 – 4 ช่อง มีไข่อ่อนช่องละ 1 หน่วย
 
  ผล ผล กลม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.5 ซม. แก่จัดจะแตกเป็น 3 พู แต่ละพูมี 2 กลีบ
เมล็ด รูปกลมรี สีดำ ผิวเกลี้ยง [6]
 
  สรรพคุณ / การใช้ประโยชน์ - ยอดอ่อน รับประทานกับลาบ(เมี่ยน)
- ยาง ทาตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้าที่คัน(กะเหรี่ยงแดง)
น้ำยาง ใช้สมานแผลสด เช่นแผลมีดบาดหรือแผลปาก เปื่อย(คนเมือง)
น้ำยาง นำมาทารักษาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก(ม้ง)
- ผล เป็นยาเบื่อทำให้ท้องเสียรุนแรง(เมี่ยน)
- ต้น ปลูกเป็นแนวรั้ว(ขมุ,กะเหรี่ยงแดง,กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)
- เมล็ด คั้นเอาน้ำมัน ใช้เป็นเชื้อเพลิง(กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน)
ผลแก่ ผ่าครึ่งแล้วนำน้ำยางที่ได้ไปใช้จุดตะเกียงแทน น้ำมันได้(ม้ง)
- ใบหรือเมล็ด แก้โรคผิวหนัง ซึ่งได้แก่พวก ผื่นคัน หิด และฆ่าแมลง
เปลือกต้นหรือใบ แก้ปวดบวม แก้กระดูกหัก แก้บาดแผล และแก้อาการเคล็ดขัดยอก[1]
- ตำรับยา :
1. โรคผิวหนังผื่นคัน โดยนำเมล็ดมาตำแล้วผสมกับน้ำมันพืช ทาตรงบริเวณที่เป็น หรือใช้ใบสดลนไฟให้อ่อน แล้วขยี้ให้แหลกทาบริเวณที่เป็น
2. กระดูกหัก ให้ใช้เปลือกหรือใบสดกับส้มกบ และพริกไทยสัก 4 – 5 เม็ดนำมาตำรวมกันให้ละเอียด เสร็จแล้วก็นำไปผัดใส่เหล้า เอาไปพอกตรงบริเวณที่หัก
3. ฟกช้ำ ปวดบวม เคล็ดขัดยอก ใช้ใบสดตำพอกตรงบริเวณที่เป็น[1]

- ราก น้ำต้มรากินเป็นยาแก้ท้องเสีย ทำให้อาเจียน ระบาย และใช้ทาถูนวดแก้ปวดตามข้อ
ต้น น้ำยางต้นสดใช้เป็นยาห้ามเลือด ออกฤทธิ์คล้ายสารประเภท collodion ใช้เฉพาะที่ สำหรับรักษาโรคริดสีดวงทวารและแก้โรคผิวหนังบางชนิด กิ่งก้านทุบใช้แปรงฟันแก้เหงือกบวมอักเสบ
ใบ ยาชงกินแก้ไอ ส่วนน้ำต้มใบกินเป็นยาฟอกเลือด แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ลดไข้ แก้ไอ อมบ้วนปากช่วยให้เหงือกแข็งแรง ทาแก้คัน และทาภายนอกช่วยขับน้ำนม น้ำคั้นใบใช้ทาท้องเด็กแก้ธาตุพิการหรือใช้ทาถูนวดแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ทาแผลเรื้อรัง ทาฝี ลดอาการอักเสบ
ผล และ เมล็ด ผลกินเป็นยาถ่ายพยาธิ แก้บิด ท้องเสีย และแก้อาการกระหายน้ำ ส่วนเมล็ดเป็นพิษมาก มีคุณสมบัติเป็นยาเสพติดที่มีฤทธิ์กัดทำลาย ใช้ทางยาเป็นยาถ่าย โดยกินเมล็ดที่กะเทาะเปลือกออกแล้วนำมาย่างไฟเล็กน้อย จำนวน 3 – 5 เมล็ด สกัดได้น้ำมันกึ่งระเหย กินเป็นยาถ่ายอย่างแรงทำให้อาเจียน แก้น้ำเหลืองเสีย ตับอักเสบ ทาเฉพาะที่แก้คัน บวมแดง และน้ำมันนวดที่เตรียมขึ้นจากน้ำมันเมล็ด 1 ส่วน ผสมกับ Bland oil 3 ส่วน ใช้ทาถูกนวดแก้ปวดตามข้อ แก้คัน แก้ปวดเมื่อย และทาบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ [6]
 
  อ้างอิง เต็ม สมิตินันทน์,2544. ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย. ส่วนพฤกษศาสตร์ป่าไม้ สำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
[1] วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม, 2548. พจนานุกรมสมุนไพรไทย. ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 6. รวมสาส์น (1977) จำกัด. กรุงเทพ ฯ.
[2] สมพร ภูติยานันต์, 2546. สมุนไพรใกล้ตัว เล่ม 6 : สมุนไพรที่เป็นพิษ. วิทยาศาสตร์เภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ตุลย์การพิมพ์, เชียงใหม่.
[5] พงษ์ศักดิ์ พลเสนา, 2550. พืชสมุนไพรในสวนป่าสมุนไพรเขาหินซ้อน ฉบับสมบูรณ์. สวนพฤกษศาสตร์ ภาคตะวันออก (เขาหินซ้อน). เจตนารมณ์ภัณฑ์, ปราจีนบุรี.
[6] ลีนา ผู้พัฒนพงศ์, 2530. สมุนไพรไทยตอนที่ 5 . ฝ่ายพฤกษศาสตร์ป่าไม้ กองบำรุง กรมป่าไม้, กรุงเทพฯ.
[12] โครงการทรัพยากรพืชในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, 2544. ทรัพยากรพืชในภูมภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลำดับที่ 12(1) : พืชสมุนไพรและพืชพิษเล่ม 1 . สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ.
 
  สภาพนิเวศ เป็นพืชที่ทนและปรับตัวเข้ากับสภาพแห้งแล้งได้ดี แม้มี ปริมาณน้ำฝนต่ำเพียง 300-1,000 มม.ต่อปี จึงทำให้เจริญได้ดี ใน แถบเขตร้อน หรือในพื้นที่ที่มีความสูงจนถึง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล หรือพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของดินต่ำ
 
  เอกสารประกอบ
 
ภาพนิ่ง